บทความวิชาการ

ASEAN กับวิกฤตมลพิษทางน้ำข้ามพรมแดน

เกี่ยวกับเอกสาร

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่ที่มีแม่น้ำสำคัญหลายสายไหลผ่าน และเชื่อมโยงกันในหลายประเทศที่มีพรมแดนติดกัน แม่น้ำเหล่านี้เป็นเส้นเลือดใหญ่ของระบบนิเวศ และยังหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนจำนวนมากผ่านกิจกรรมการเกษตร ประมง และท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม แม่น้ำในภูมิภาคนี้กำลังเผชิญกับปัญหามลพิษทางน้ำที่รุนแรงขึ้น ทั้งจาก ขยะที่ถูกทิ้งจากครัวเรือน ขยะจากอุตสาหกรรม เช่น โลหะหนัก สารเคมีตกค้างจากภาคเกษตรกรรม และขยะพลาสติก ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต สุขภาพของมนุษย์ และคุณภาพของสิ่งแวดล้อมโดยรวม

ล่าสุด การปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำทางภาคเหนือของไทย เป็นสัญญาณเตือนที่ไม่อาจมองข้าม โดยจากรายงานของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ พบ การปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนู” และ “ตะกั่ว” เกินค่ามาตรฐานในแม่น้ำสาย แม่น้ำกก และแม่น้ำโขงบริเวณจังหวัดเชียงราย ก่อให้เกิดความกังวลต่อระบบนิเวศและสุขภาพของคนในพื้นที่ โลหะหนัก เช่น ตะกั่ว สารหนู แคดเมียม ปรอท เป็นธาตุที่ไม่ย่อยสลายในธรรมชาติและสะสมในสิ่งแวดล้อมได้ยาวนาน หากเข้าสู่ร่างกายผ่านการกิน การหายใจ หรือการสัมผัส อาจก่อให้เกิดพิษเรื้อรัง และเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง

แม่น้ำกกและแม่น้ำสายมีต้นกำเนิดจากรัฐฉานของเมียนมา โดยไหลเข้ามายังไทยและรวมกับแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน ทำให้เกิดคำถามสำคัญถึงที่มาของมลพิษข้ามพรมแดนนี้ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับการทำเหมืองแร่ในฝั่งเมียนมา โดยการจัดการของปัญหานี้เป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากแหล่งกำเนิดมลพิษอยู่นอกเขตอำนาจของรัฐบาลไทย

กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เรียกว่า “มลพิษข้ามพรมแดน” (Transboundary Pollution) ซึ่งหมายถึง มลพิษที่เกิดขึ้นในประเทศหนึ่งแต่สามารถสร้างความเสียหายให้กับสิ่งแวดล้อมของประเทศอื่นได้โดยการข้ามพรมแดนผ่านเส้นทางต่างๆ เช่น น้ำ อากาศ มลพิษประเภทนี้มักยากต่อการควบคุมเนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลายประเทศและด้วยระบบกฎหมายที่แตกต่างกัน การจัดการปัญหานี้จึงต้องเผชิญข้อจำกัดทางเขตอำนาจและความร่วมมือระหว่างรัฐ

รายงานของธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (2567) ระบุว่า การจัดการมลพิษทางน้ำสามารถทำได้หลายแนวทาง เช่น การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ มาตรการภาษีมลพิษ ความรับผิดชอบของผู้ผลิต และกลไกทางการเงิน เช่น พันธบัตรสีน้ำเงิน การลงทุนร่วมรัฐ-เอกชน สำหรับกรณีมลพิษทางน้ำข้ามพรมแดนที่มีการไหลผ่านหลายประเทศ แนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศถือเป็นกลไกสำคัญในการจัดการ ในกรณีของแม่น้ำโขงจะมีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการเจรจาข้อขัดแย้งและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน อย่างไรก็ตาม MRC ยังขาดอำนาจทางกฎหมายในการบังคับใช้ ทำให้การควบคุมมลพิษยังมีข้อจำกัด

ในระดับภูมิภาค ความร่วมมือระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญ แต่ยังเผชิญอุปสรรคจากความแตกต่างด้านผลประโยชน์ระหว่างประเทศ ความขัดแย้งทางการเมือง การขาดทรัพยากร และการมีส่วนร่วมของสาธารณชนที่จำกัด การจัดการปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องสร้างความไว้วางใจระหว่างประเทศ เพิ่มกลไกการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จัดหาเงินทุนอย่างเพียงพอ และออกแบบโครงสร้างองค์กรให้มีความชัดเจน ตัวอย่างเช่น คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศเพื่อการคุ้มครองแม่น้ำดานูบ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการปกป้องแม่น้ำดานูบ ใช้แนวทางฉันทามติ การแบ่งภาระอย่างเท่าเทียม และการป้องกันข้อพิพาท เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืนในลุ่มน้ำดานูบ

อาเซียนกำลังเผชิญวิกฤตมลพิษทางน้ำข้ามพรมแดนที่ซับซ้อนจึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค การปกป้องทรัพยากรน้ำไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือการลงทุนในสุขภาพ ความมั่นคง และอนาคตของภูมิภาค การมองน้ำเป็นทรัพย์สินร่วมของมนุษยชาติ คือจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ผู้เขียน
ณัฐจารีย์ เพ็ชรร่วง
นักวิจัย
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD)
www.itd.or.th
ตีพิมพ์ : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ Section : First Section/World Beat
ปีที่ 38 ฉบับที่ 12916 วันพุธที่ 4 มิถุนายน 2568
หน้า 8 (ล่าง) คอลัมน์ “Asean Insight”

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

Top