บทความวิชาการ

‘คะแนน ESG’ มาตรวัดอนาคต SMEs อาเซียน

เกี่ยวกับเอกสาร

โลกธุรกิจกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่ “ความยั่งยืน” เป็นเงื่อนไขของการอยู่รอด และ ‘ESG Score’ หรือการประเมินผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดคุณค่าและความเสี่ยงขององค์กร ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจอาเซียน ความพร้อมของภาคธุรกิจอาเซียน โดยเฉพาะ SMEs จึงมีความสำคัญอย่างมากต่ออนาคตเศรษฐกิจแห่งอนาคตที่วัดกันด้วยคะแนน ESG

ปัจจุบัน คะแนน ESG หรือ ESG Score สำหรับ SMEs ในอาเซียนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและไม่เป็นระบบมาตรฐานเดียวกับบริษัทขนาดใหญ่ การประเมินมักเกิดขึ้นจากแรงขับเคลื่อนเฉพาะ เช่น ข้อกำหนดของคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน หรือเกณฑ์พิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงิน อีกทั้งระดับความพร้อมด้าน ESG ของ SMEs ในอาเซียนมีความแตกต่างหลากหลาย โดยจะขอหยิบยกกรณีไทย สิงคโปร์ และเวียดนาม ดังนี้

สำหรับไทย บริษัทขนาดใหญ่มีความก้าวหน้าชัดเจน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ มีบทบาทนำในการส่งเสริม ESG ผ่านดัชนีและเกณฑ์รายงาน ทำให้บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มีการเปิดเผยข้อมูล ขณะที่ SMEs ไทยไม่ถึง 20% เริ่มนำมาปฏิบัติหรือเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบแม้ว่าจะรับรู้เรื่อง ESG แล้วมากถึง70-80% โดยยังเผชิญความท้าทายหลักคือ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การขาดความรู้ และความซับซ้อนของเกณฑ์

สิงคโปร์ ในฐานะศูนย์กลางการเงิน มีความพร้อมสูงมากในด้าน ESG โดย SMEs กว่า 80% ตระหนักรู้และ 40-50% เริ่มลงมือทำแล้ว โดยการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียวเป็นปัจจัยเร่ง สินเชื่อ ESG สำหรับ SMEs ในปี 2567 มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคาร OCBC และ Enterprise Singapore ยังได้ร่วมกันเปิดตัว “OCBC SME Start-ESG Programme” เพื่อสนับสนุน SMEs ด้วยเครื่องมือและแนวทางในการปรับปรุงผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของธุรกิจ ซึ่งแสดงถึงความพร้อมของระบบนิเวศในการสนับสนุน SMEs ในการเดินหน้าด้าน ESG อย่างเป็นรูปธรรมของสิงคโปร์

ESG Scoring ในเวียดนามได้รับแรงผลักดันจากความต้องการของนักลงทุนสถาบัน สถาบันสินเชื่อ และธุรกิจเชิงพาณิชย์ แต่การเข้าร่วมและการเปิดเผยคะแนน ESG ในเวียดนามยังคงเป็นไปโดยความสมัครใจ จากความท้าทายหลายประการ โดยการศึกษาของ PwC พบว่า 60% ของ SMEs ในเวียดนามยังไม่มีแผนดำเนินการด้าน ESG เนื่องจาก 61% ขาดองค์ความรู้ 48% ขาดเงินทุน และ 28% ขาดการเข้าถึงข้อมูลด้าน ESG

ความท้าทายที่ต้องเร่งก้าวข้าม

SMEs อาเซียนในภาพรวมยังเผชิญอุปสรรคร่วมกัน คือ การขาดทรัพยากร ทั้งงบประมาณและบุคลากร รวมถึงความซับซ้อนของกรอบ ESG การเข้าถึงข้อมูลเพื่อการรายงานเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ยังเป็นเรื่องยาก และ SMEs จำนวนมากยังคงมองไม่เห็นประโยชน์ทางธุรกิจที่ชัดเจนในระยะสั้น

โอกาสที่เดิมพันด้วยคะแนน ESG

โอกาสทางธุรกิจของอาเซียน การมีคะแนน ESG ที่ดี จะเป็นแต้มต่อในการรักษาและขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทานของบริษัทขนาดใหญ่และตลาดต่างประเทศ ที่มีแนวโน้มให้ความสำคัญต่อ ESG โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน สถาบันการเงินทั่วโลกและในภูมิภาคกำลังเชื่อมโยงการให้สินเชื่อกับผลการดำเนินงาน ESG มากขึ้น และการบริหารความเสี่ยง ช่วยให้ SMEs รับมือกับกฎระเบียบใหม่ๆ และความเสี่ยง โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมได้ดีขึ้น เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ

ก้าวต่อไปในสร้างแต้มต่อให้ SMEs

เพื่อให้ SMEs พร้อมสำหรับอนาคตวัดด้วยคะแนน ESG ภาครัฐจึงจำเป็นต้องมีกลไกสนับสนุนที่ตรงจุด ได้แก่ 1) กรอบงานที่เรียบง่าย เช่น การพัฒนาเครื่องมือและเกณฑ์ประเมิน ESG ที่เหมาะสมกับขนาดและบริบทของ SMEs 2) การเสริมสร้างความรู้ เช่น ถ่ายทอดความรู้และแนวปฏิบัติที่นำไปใช้ได้จริง ลดความซับซ้อน 3) แรงจูงใจ สนับสนุนทางการเงิน หรือมาตรการจูงใจอื่นๆ สำหรับ SMEs ที่เริ่มดำเนินการด้าน ESG และ 4) การสร้างความเชื่อมโยง ช่วยให้ SMEs เห็นประโยชน์เชิงธุรกิจของการทำ ESG อย่างเป็นรูปธรรม

คะแนน ESG คือสิ่งที่จะกำหนดอนาคตของ SME ในอาเซียน แม้ปัจจุบันจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีความแตกต่างกันมากในแต่ละประเทศ โดยบริษัทใหญ่ของไทยค่อนข้างพร้อม แต่ SMEs ยังต้องเร่งปรับตัวอย่างหนัก ท่ามกลางความท้าทายด้านทรัพยากรและความเข้าใจ การสนับสนุนอย่างเป็นระบบจากทุกภาคส่วน จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้ SMEs ไทยและอาเซียนสามารถคว้าโอกาสจากกระแสความยั่งยืน และกลายเป็นผู้ชนะในเกมธุรกิจแห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย ESG

ผู้เขียน
วรัญญา ยศสาย
นักวิจัยอาวุโส
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD)
www.itd.or.th
ตีพิมพ์ : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ Section : First Section/World Beat
ปีที่ 38 ฉบับที่ 12906 วันพุธที่ 21 พฤษภาคม 2568
หน้า 8 (ล่างซ้าย) คอลัมน์ “Asean Insight”

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

Top