เกี่ยวกับเอกสาร
เศรษฐกิจโลกเผชิญภาวะความผันผวนสูง ฉุดรั้งการฟื้นตัวที่เปราะบางอยู่เดิม โดยธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลกปี 2568 เหลือเพียง 2.3% ซึ่งเป็นการเติบโตที่อ่อนแอที่สุดหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 สาเหตุหลักมาจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นและนโยบายที่ไม่แน่นอนสูง นอกจากนี้ ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะตะวันออกกลาง มีแนวโน้มทำให้เงินเฟ้อปรับสูงขึ้นและฉุดรั้งเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเศรษฐกิจการเมืองโลกที่ผันผวน นับเป็นโอกาสสำคัญให้อาเซียนต้องปรับตัวเชิงรุก
มาตรการกีดกันทางการค้าและความไม่แน่นอนของนโยบายด้านการค้ากำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการขึ้นภาษีสินค้าฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ ซึ่งสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อภาคการผลิต การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และไทย ที่สหรัฐฯ ประกาศจะเก็บภาษีในอัตราสูงกว่าประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ตึงเครียดขึ้นยังซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง ล่าสุดความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อาจนำไปสู่การปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดของโลก JPMorgan Chase & Co. ประมาณการว่าหากเกิดขึ้นจริง ราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งสูงถึง 120-130 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะกระตุ้นให้เงินเฟ้อทั่วโลกสูงขึ้น ลดอำนาจซื้อของผู้บริโภค ธนาคารกลางจะถูกกดดันให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น การลงทุนชะลอตัว และเสี่ยงนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
แรงกดดันจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลโดยตรงต่อการค้า การผลิต และเศรษฐกิจของภูมิภาค ทั้งสองมหาอำนาจต่างพยายามดึงอาเซียนเข้าร่วมห่วงโซ่อุปทานและเครือข่ายเศรษฐกิจของตน ซึ่งได้สร้างโอกาสให้อาเซียนได้รับประโยชน์จากการลงทุนและการเข้าถึงตลาดที่เพิ่มขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายจากการถูกบีบให้เลือกข้าง หรือได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจขัดขวางการเติบโตและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน
เวียดนามเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนสถานการณ์นี้อย่างชัดเจน แม้จะได้รับประโยชน์มหาศาลจากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนในช่วงสงครามการค้า จนกลายเป็น “โรงงานโลก” แห่งใหม่ ให้กับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เวียดนามก็กำลังถูกสหรัฐฯ กดดันให้ลดการพึ่งพาทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีจากจีน ขณะเดียวกัน เวียดนามยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีกับจีนในฐานะคู่ค้าอันดับหนึ่ง และแหล่งนำเข้าสำคัญ และล่าสุดได้รับสถานะเป็น “ประเทศหุ้นส่วน BRICS” ซึ่งสะท้อนความพยายามในการเพิ่มทางเลือกความร่วมมือทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพามหาอำนาจใดอำนาจหนึ่งมากเกินไป
การพึ่งพาการส่งออกและการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก ทำให้อาเซียนมีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ภายนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้จากการส่งออก รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคและการลงทุนในภูมิภาค ที่สำคัญคืออาจซ้ำเติมปัญหาเดิมที่อาเซียนเผชิญอยู่ เช่น หนี้ระดับสูง อย่างในมาเลเซียและสปป.ลาว ซึ่งจะลดพื้นที่ในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
ท่ามกลางความผันผวนสูงของเศรษฐกิจการเมืองโลก อาเซียนยังคงมีโอกาสพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ โดยสิ่งสำคัญคือการเร่งสร้างความเข้มแข็งภายในภูมิภาค โดยลดการพึ่งพาตลาดภายนอกและหันมาสร้างตลาดภายในภูมิภาคที่แข็งแกร่งซึ่งขับเคลื่อนด้วย Digital Integration อย่างแท้จริง เช่น เน้นการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน การอำนวยความสะดวกทางการค้าผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล และการพัฒนา ASEAN Single Window ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ห่วงโซ่อุปทานภายในอาเซียนแข็งแกร่งขึ้น ลดความเปราะบางจากปัจจัยภายนอก
นอกจากนี้ อาเซียนควรส่งเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม พัฒนาอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงและ AI พร้อมทั้งลดการพึ่งพาแหล่งผลิตและตลาดส่งออกเดียว เพื่อกระจายความเสี่ยงในภาคอุตสาหกรรมโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างการผลิตภายในภูมิภาค
ในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน อาเซียนไม่สามารถหยุดนิ่งได้ การเร่งปรับตัว เสริมสร้างความร่วมมือ และมองหาโอกาสใหม่ๆ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้อาเซียนสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้อย่างมั่นคง และยังคงเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกต่อไป
ผู้เขียน
วรัญญา ยศสาย
นักวิจัยอาวุโส
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD)
www.itd.or.th
ตีพิมพ์ : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ Section : First Section/World Beat
ปีที่ 38 ฉบับที่ 12931 วันพุธที่ 25 มิถุนายน 2568
หน้า 8 (ล่าง) คอลัมน์ “Asean Insight”