เกี่ยวกับเอกสาร
ติมอร์-เลสเตได้เข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกใหม่อย่างเป็นทางการลำดับที่ 11 ของอาเซียน เมื่อ ต.ค. 2568 นับเป็นพัฒนาการสำคัญที่สะท้อนถึงความพร้อมและความตั้งใจของอาเซียนและติมอร์-เลสเต รวมทั้งเป็นการขยายขอบเขตเศรษฐกิจภูมิภาคไปสู่พื้นที่ที่ยังมีศักยภาพในการพัฒนาอีกมาก
ติมอร์-เลสเตมีประชากรประมาณ 1.3 ล้านคน รายได้เฉลี่ยต่อหัวราว 1,400 ดอลลาร์สหรัฐ เศรษฐกิจของติมอร์-เลสเตยังคงมีโครงสร้างที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของการส่งออกทั้งหมด ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงระดับการพัฒนาในช่วงเริ่มต้น
เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจติมอร์-เลสเต ข้อมูลจากธนาคารกลางติมอร์-เลสเตระบุว่า ในปี 2566 ติมอร์-เลสเตได้รับเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มากกว่า 205 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกว่า 65% มาจากประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์
อุตสาหกรรม 5 อันดับแรกที่ดึงดูด FDI ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 93% ของ FDI ทั้งหมด ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมการก่อสร้าง ดึงดูด FDI มากที่สุด คิดเป็นเกือบ 33% จากการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน (2) การค้าส่งและค้าปลีก 27% (3) บริการทางการเงินและการประกันภัย 13.7% (4) ข้อมูลและการสื่อสาร 13.6% โดยส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ต และ (5) การผลิต (Manufacturing) 5.7% แม้จะมีสัดส่วนน้อย แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกระตุ้นการเติบโตในภาคส่วนสำคัญอื่น ๆ เช่น เกษตรกรรม
รัฐบาลติมอร์-เลสเตกำลังขับเคลื่อนการพัฒนาภาคส่วนสำคัญ ทั้งการท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและแหล่งท่องเที่ยวชายทะเล โดยมีสิงคโปร์เป็นนักลงทุนรายใหญ่ ส่วนภาคเกษตรกรรม ได้ให้ความสำคัญกับพืชมูลค่าสูง เช่น กาแฟ โกโก้ และมะม่วง รวมถึงการเพาะเลี้ยงปศุสัตว์สมัยใหม่ ระบบชลประทาน และประมง
ภาคการผลิต ติมอร์-เลสเตมุ่งเน้นการแปรรูปอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงการผลิตอาหารเพื่อบริโภคภายในประเทศและส่งออก การบรรจุน้ำแร่ และการผลิตเครื่องดื่มประเภทต่าง ๆ เช่น มีโรงงานผลิตเบียร์ และมีการผลิตวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ หินอ่อน เซรามิก และผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูป เพื่อรองรับอุตสาหกรรมก่อสร้างที่กำลังขยายตัว มีอุตสาหกรรมสิ่งทอและหัตถกรรมขนาดเล็กที่สำคัญ ได้แก่ การผลิตผ้าทอ (Woven cloth) งานหัตถกรรมต่าง ๆ และเครื่องแต่งกาย มีศูนย์การผลิตผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ เช่น พื้นไม้ลามิเนต เฟอร์นิเจอร์ มู่ลี่ และหัตถกรรมไม้ไผ่ และอุตสาหกรรมขนาดเล็กอื่น ๆ เช่น การพิมพ์ การผลิตสบู่ และการแปรรูปเกลือ
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการค้าและการลงทุนของภาคธุรกิจไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปกาแฟ ซึ่งประเทศไทยมีความชำนาญและเทคโนโลยีที่สามารถถ่ายทอดได้ ธุรกิจโลจิสติกส์และค้าปลีกที่มีโอกาสทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าระหว่างอาเซียนกับติมอร์-เลสเต การเกษตรแบบยั่งยืน และการเกษตรอัจฉริยะ เพื่อช่วยลดการนำเข้าอาหาร ตลอดจนธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในพื้นที่เกาะและชายฝั่งที่ยังไม่ถูกพัฒนาเชิงพาณิชย์
โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ท่าเรือ ระบบพลังงานหมุนเวียน และเขตอุตสาหกรรมเฉพาะทาง ซึ่งอยู่ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาของรัฐบาลติมอร์-เลสเต ก็ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในภาควิศวกรรม ก่อสร้าง และพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะบริษัทที่มีความสามารถในการดำเนินโครงการในประเทศกำลังพัฒนา
รัฐบาลไทยควรมีบทบาทมากขึ้นในด้านการผลักดันความร่วมมือกับติมอร์-เลสเต โดยเฉพาะการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ในการเข้าถึงข้อมูลตลาดและข้อกฎหมายผ่านสำนักงานส่งเสริมการค้าในภูมิภาค ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้า เช่น Roadshow และงานแสดงสินค้าในติมอร์-เลสเต เพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ภาคเอกชนไทยควรเร่งสำรวจความเป็นไปได้ในการเป็นผู้ริเริ่ม (first mover) ในตลาดใหม่ เช่น การตั้งศูนย์กระจายสินค้าในระดับภูมิภาค หรือการจัดตั้งฐานการผลิตในภาคการเกษตรและการแปรรูปเพื่อส่งออก อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญของติมอร์-เลสเต้ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่ครอบคลุม ระบบกฎหมายการค้าและการลงทุนที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และกำลังแรงงานที่ยังต้องการการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการไทยจึงควรเข้าไปอย่างมีแบบแผน และเชื่อมโยงกับความร่วมมือจากภาครัฐ
การเป็นสมาชิกใหม่ของติมอร์-เลสเตในอาเซียนเป็นทั้งหมุดหมายของการรวมกลุ่มทางการเมือง และเป็นสัญญาณของการขยายพื้นที่เศรษฐกิจในภูมิภาค ผู้ประกอบการไทยควรพิจารณาบทบาทเชิงรุกในการสร้างความร่วมมือกับประเทศสมาชิกใหม่เพื่อยกระดับการแข่งขันของตนในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้ มิใช่เพียงเพื่อผลกำไรระยะสั้น แต่เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเจริญเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผู้เขียน
น้ำผึ้ง ทัศนัยพิทักษ์กุล
นักวิจัยอาวุโส
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD)
www.itd.or.th
ตีพิมพ์ : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ Section : First Section/World Beat
ปีที่ 39 ฉบับที่ 13026 วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน 2568
หน้า 8 (ล่างซ้าย) คอลัมน์ “Asean Insight”



