เกี่ยวกับเอกสาร
สภาพเศรษฐกิจและการค้าของไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแสดงสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งสอดรับกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่หันสู่เทคโนโลยีสีเขียวและดิจิทัล
ขณะเดียวกัน “เศรษฐกิจนวัตกรรม” ในประเทศไทยก็ได้รับการพัฒนาผ่านนโยบายสนับสนุนการวิจัย การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีชีวภาพในภาคการผลิตและบริการ เพื่อลดการพึ่งพาทรัพยากรและเพิ่มมูลค่าเชิงองค์ความรู้ ส่วนแนวโน้มระดับโลก เช่น การเร่งใช้ปัญญาประดิษฐ์ การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด และเศรษฐกิจดิจิทัลไร้พรมแดน ได้สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายให้ไทยต้องเร่งปิดช่องว่างด้านทักษะ โครงสร้างพื้นฐาน และข้อมูล เพื่อยกระดับสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและสามารถแข่งขันในห่วงโซ่มูลค่าโลกได้อย่างยั่งยืน
จากรายงาน Global Innovative Index 2025 ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 45 ของโลก ซึ่งเป็นอันดับที่ “สอดคล้องกับระดับการพัฒนา” ของประเทศรายได้ปานกลางขั้นสูง (Upper Middle-Income) กล่าวคือมีความก้าวหน้าตามที่คาดหวัง แต่ยังขาดความโดดเด่นเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม (อันดับ 44) และฟิลิปปินส์ (อันดับ 50) ซึ่งถูกจัดเป็นกลุ่มที่ “มีประสิทธิภาพสูงเกินความคาดหวัง” (Innovation Overperformers)
จุดแข็งที่ชัดเจนของไทยคือความสามารถในการดูดซับเทคโนโลยี และการเป็นศูนย์กลางการผลิต ดังจะเห็นได้จากอันดับที่สูงมากในการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง (อันดับ 8) และการส่งออกสินค้าสร้างสรรค์ (อันดับ 7) รวมถึงการที่ภาคธุรกิจไทยมีการลงทุนด้าน R&D สูง (อันดับ 1 ในด้านสัดส่วน R&D ที่ได้รับทุนจากภาคธุรกิจ) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคเอกชนมีความพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากนวัตกรรม
แม้ภาคธุรกิจจะมีความพร้อม แต่เมื่อวิเคราะห์ในด้านปัจจัยพื้นฐาน ไทยยังมีช่องว่างที่สำคัญ ได้แก่
1) ช่องว่างด้านทุนมนุษย์ (Human Capital Gap): งบประมาณการศึกษาต่ำ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของบุคลากรในอนาคต, ขาดทักษะเฉพาะทาง AI และ Data Science ในระดับสูง ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการลดช่องว่าง ตามที่ UNCTAD ระบุ
2) ช่องว่างด้านการสร้างองค์ความรู้ (Knowledge Creation Gap) แม้ว่าภาคธุรกิจจะมีการลงทุนด้าน R&D สูง แต่ผลผลิตจากงานวิจัยต่ำ บ่งชี้ว่างานวิจัยยังไม่สามารถถูกแปลงเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีคุณค่าเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ
3) ช่องว่างด้านการลงทุนสตาร์ทอัพ (VC Gap) มีการลงทุน VC ในประเทศต่ำ สะท้อนว่าการสร้างบริษัทสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและสามารถดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
เพื่อก้าวข้ามช่องว่างนี้ ประเทศไทยควรดำเนินการอย่างเร่งด่วนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
1) เร่งปฏิรูปทุนมนุษย์และ R&D ผ่านการยกระดับการศึกษา รวมถึงการจัดทำหลักสูตร Reskilling/Upskilling สำหรับแรงงานที่อยู่ในตลาดแล้ว และออกมาตรการสนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงงานวิจัยสู่ภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้ผลงานวิจัยถูกนำไปใช้จริงมากขึ้น
2) สร้างระบบนิเวศ AI ที่ยั่งยืน ผ่านการลงทุนในศูนย์ข้อมูลแบบเปิด และสร้างกลไกสนับสนุนเพื่อให้สตาร์ทอัพและนักวิจัยสามารถเข้าถึงและพัฒนาโมเดล AI ของตนเองได้
3) กำหนดนโยบายที่มุ่งเน้นกลยุทธ์ AI Augmentation มาใช้เพื่อเสริมศักยภาพแรงงาน ในภาคการผลิตและบริการที่เป็นจุดแข็งของไทย (เช่น Smart Manufacturing และ Precision Agriculture) ที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ
หากประเทศไทยสามารถปิดช่องว่างด้านทุนมนุษย์และการแปลงผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ได้สำเร็จ พร้อมทั้งใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมศักยภาพอย่างชาญฉลาด เราจะสามารถยกระดับจากประเทศที่ “สอดคล้องกับความคาดหวัง” เป็นประเทศที่ “มีประสิทธิภาพโดดเด่น” และสามารถแข่งขันในระดับโลกได้อย่างแน่นอน
ผู้เขียน
กมล ปานม่วง
นักวิจัยอาวุโส
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD)
www.itd.or.th
ตีพิมพ์ : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ Section : First Section/World Beat
ปีที่ 39 ฉบับที่ 13021 วันพุธที่ 29 ตุลาคม 2568
หน้า 8 (ล่างซ้าย) คอลัมน์ “Asean Insight”



